Profhilo : นวัตกรรมใหม่ในการบูสต์ผิว
หมดปัญหาเรื่อง ผิวหมอง ริ้วรอยลึก
ที่ B.Mee Clinic สาขา พิษณุโลก

โปรแกรม Profhilo® ทำหน้าที่เป็นตัวเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวมากกว่าการเป็นโปรแกรมฟิลเลอร์ทั่วไป ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวเหนื่อยล้า หมองคล้ำ โดยจะช่วยเปลี่ยนผิวให้ดูกระชับและเปล่งประกายยิ่งขึ้น ผลลัพธ์นี้สามารถสังเกตได้ภายใน 3-5 วันหลังการรักษา

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ถัดมา โปรแกรม Profhilo® จะกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ส่งผลให้ผิวกระชับขึ้นในระยะต่อมา กระบวนการนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งเนื่องจากระดับคอลลาเจน อีลาสติน และกรดไฮยาลูโรนิกในผิวจะลดลงอย่างรวดเร็วหลังอายุ 30 ปี ซึ่งเป็นสาเหตุของสัญญาณแห่งวัย เช่น ริ้วรอย ร่องลึก และผิวที่ดูหมองคล้ำ โปรแกรม Profhilo® จะช่วยย้อนกลับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้บางส่วน

ผลลัพธ์สูงสุดจากการใช้ โปรแกรม Profhilo® มักจะปรากฏชัดเจนที่สุดในช่วง 2-3 เดือนหลังการรักษาครั้งที่สอง

ส่วนผิวหนังที่มีความหย่อนคล้อย ที่สามารถฉีดได้ ดังนี้

• ส่วนกลางของใบหน้า (Mid Face) เช่น โหนกแก้ม, ร่องแก้ม, ข้างจมูก
• ส่วนล่างของใบหน้า (Lower Face) เช่น มุมปาก, ขากรรไกรล่าง
• บริเวณต้นคอ
• บริเวณเหนือหน้าอก
• บริเวณต้นแขน
• บริเวณหน้าท้อง
• บริเวณมือ

แม้ว่าตัวโปรแกรม Profhilo® และ โปรแกรมฟิลเลอร์อื่น ๆ จะมีส่วนประกอบหลักเหมือนกันคือ กรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid) แต่ทั้งสองแบบมีการทำงานที่แตกต่างกันอย่างมาก

โปรแกรมฟิลเลอร์อื่น ๆ จะถูกฉีดในบริเวณที่ต้องการปรับแต่งโดยเฉพาะ เช่น ริมฝีปากและแก้ม โดยสารเติมเต็มนี้จะไม่กระจายไปยังผิวบริเวณรอบข้าง ทำให้สามารถเพิ่มมิติให้โครงสร้างใบหน้า เช่น สร้างแก้มที่ดูคมชัด หรือริมฝีปากที่ดูอวบอิ่ม

แต่โปรแกรม Profhilo® มีวิธีการทำงานที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากโปรแกรม Profhilo® ประกอบไปด้วยกรดไฮยาลูโรนิกบริสุทธิ์ 100% ในขณะที่โปรแกรมฟิลเลอร์อื่น ๆ มีส่วนประกอบอื่นร่วมด้วย

เนื่องด้วยโปรแกรม Profhilo® เป็นสารที่เลียนแบบธรรมชาติของผิว ทำให้ซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างกลมกลืนและกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทั่วผิว การรักษาด้วยโปรแกรม Profhilo® ยังช่วยรักษาความชุ่มชื้นในผิว พร้อมกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญของผิว ช่วยฟื้นฟูและเพิ่มความสดใสให้ผิวจากภายในสู่ภายนอก

โปรแกรม Profhilo® เหมาะสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าผิวพรรณเริ่มมีความหย่อนคล้อย สูญเสียความกระชับและความเต่งตึง ดังนั้น โปรแกรม Profhilo® จึงสามารถช่วยฟื้นฟูและคืนความสดใสให้กับผิวได้

ไม่อันตราย หากฉีดโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์และน่าเชื่อถือ

โปรแกรม Profhilo® ไม่ต้องมีการผ่าตัดหรือเย็บแผลใดๆ เพียงแค่ฉีดตามจุดต่างๆ บนใบหน้าหรือร่างกาย แม้กระบวนการอาจมีอาการเจ็บ แสบ หรือไม่สบายตัวเล็กน้อย แต่โดยทั่วไปสามารถทนได้

สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความเจ็บปวดหรือกลัวเข็ม แพทย์สามารถใช้ยาชาเฉพาะที่เพื่อช่วยลดความเจ็บปวดในบริเวณที่ฉีดได้ ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ทำการรักษา ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังฉีดโปรแกรม Profhilo® คือ

1. อาการบวมแดงหรือรอยเข็ม ในบริเวณที่ฉีด ซึ่งมักหายไปเองใน 1-2 วัน
2. ผิวรู้สึกตึงเล็กน้อย ซึ่งเป็นสัญญาณของการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
3. อาการแพ้ พบได้น้อยมาก เนื่องจากสารที่ใช้มีความเข้ากันได้ดีกับร่างกาย

อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินสภาพผิวและความเหมาะสมก่อนรับบริการเสมอ และหลีกเลี่ยงการฉีดในคลินิกที่ไม่มีใบรับรองมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของคนไข้ทุกท่าน

ผลลัพธ์จากการฉีดโปรแกรม Profhilo® สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6 - 12 เดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุคคลและการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคน การรักษานี้ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งช่วยปรับปรุงความชุ่มชื้น ความกระชับ และคุณภาพโดยรวมของผิวในระยะยาว แม้ว่าผลลัพธ์บางอย่างอาจเห็นได้ชัดเจนหลังการรักษาไม่นาน แต่ประโยชน์สูงสุดของโปรแกรม Profhilo® จะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนหลังจากการรักษาครั้งที่ 2 และเมื่อเวลาผ่านไป กระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติของผิวจะเริ่มทำงาน

การหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดด การดูแลผิวที่ดี การดื่มน้ำมาก ๆ และการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์ อาจช่วยยืดระยะเวลาของผลลัพธ์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แนะนำให้ฉีดซ้ำทุก ๆ 6 เดือนหลังจากการรักษาสองครั้งแรก

หลังรับการรักษา แนะนำให้หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าและการออกกำลังกาย รวมไปถึงการใช้ห้องซาวน่าหรือห้องอบไอน้ำเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือถูบริเวณที่ฉีดในช่วงสองสามวันหลังการรักษา และอาจมีอาการฟกช้ำหรืออักเสบเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด แต่โดยปกติแล้วอาการเหล่านี้จะหายไปภายในสองสามวัน และหลังการฉีดโปรแกรม Profhilo® ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ

ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลและจำนวนที่ใช้ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินปริมาณและค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม